เห้ย...ดูกอล์ฟไม่เป็น !! ดูกอล์ฟไม่สนุกเลยย.. ทำไง!!!
อาการพวกนี้เกิดจากสาเหตุ “ไม่รู้ศัพท์” ซะส่วนใหญ่ เพราะถ้าเอาเข้าจริงถ้ารู้จักคำศัพท์ รู้จักการดูกอล์ฟดียิ่งขึ้นก็จะทำให้เราเข้าถึง และสนุกไปกับการดูการแข่งขันในหลายๆแมช ไม่ว่าจะเป็น PGA Tour, LPGA Tour, European Tour, Ladies European Tour, หรือแม้แต่ Asian Tour และบอกตรงๆว่าถ้าดูกอล์ฟเป็นเมื่อไหร่ คุณจะได้นอนดึกทุกคืน เพราะการแข่งขันเกิดขึ้นบ่อยมากกก..
โดยศัพท์ที่ทาง Golfdd นำมาแชร์ให้กับแฟนๆนักกอล์ฟ จะเป็นคำพื้นฐาน ผมคิดว่าคำบางคำ นักกอล์ฟหลายๆท่านน่าจะรู้อยู่แล้วด้วย แต่สำหรับผู้เล่นมือใหม่ หรือผู้เล่นที่พยายามดูการแข่งขัน แนะนำว่าควรอ่านเลยหล่ะครับ
Stroke
หมายถึง จำนวน(ครั้ง)การตีโดนลูก หรือทำให้ลูกขยับ นับเป็นครั้ง
ตัวอย่างเช่น หลุมนี้นักกอล์ฟตีไป 3 Stroke แปลว่าหลุมนี้นักกอล์ฟได้ตีกอล์ฟไป 3 ครั้ง
Par
โดยปกติแต่ละหลุมจะมีการกำหนด หรือข้อกำหนดในการตี เพื่อให้เกิดความกดดัน และความสนุก และห้ามจำนวนครั้งการตีไม่ให้เกินจำนวนที่กำหนดไว้ โดยจำนวนที่กำหนดไว้ เรียกว่า Par (พาร์) ซึ่งจะสอดคล้องกับการตี โดยปกติแต่ละหลุมจะอยู่ที่ Par 3 - 5 (Stroke) คือตีให้อยู่ใน 3-5 ครั้ง ก็จะเท่ากับที่หลุมนั้นกำหนดไว้ โดยแปลว่าหากตีเท่ากับจำนวน Par ที่กำหนดในแต่ละหลุมจะ เรียกว่า Even Par คือ แต้ม 0 ไม่ได้และก็ไม่เสีย
ตัวอย่างเช่น หลุม 1 Par 4 นักกอล์ฟ A ตีไป 4 Stroke = Even Par (หากตีมากกว่าหรือน้อยกว่า Par อยู่ในคำศัพท์ถัดไป)
Birdie / Eagle / Albatross
Birdie = -1 (Stroke)
Eagle = -2 (Stroke)
Albatross = -3 (Stroke)
ปกติการแข่งขันกีฬาต่างๆคะแนนยิ่งสูงจะยิ่งดี แต่การแข่งขันกอล์ฟต่างกันโดยสิ้นเชิง การแข่งขันกอล์ฟโดยส่วนใหญ่จะแข่งขันกันว่า ใครตีจำนวนครั้ง (Stroke) ได้น้อยกว่ากัน ซึ่งตัววัดผลคือคะแนนที่ต่ำกว่า Par (จำนวนครั้งการตีหน่อยกว่าที่หลุมกำหนด ยิ่งตีน้อยครั้งกว่า อาจแปลว่าแม่นกว่า เก่งกว่า หรือดวงดีกว่า) จะเรียกว่า Under Par คือต่ำกว่า Par
ตัวอย่างเช่น หลุม 2 Par 5 นักกอล์ฟ A ตีไป 4 Stroke แปลว่าต่ำกว่าที่กำหนด 1 ครั้ง = เบอร์ดี้ (-1)
หากตีไป 3 Stroke แปลว่าต่ำกว่าที่กำหนด 2 แต้ม = อีเกิ้ล (-2)
และหากเก่งมากๆๆจริง ตีไปแค่ 2 Stroke แล้วลงหลุมเลย ต่ำกว่าที่กำหนดถึง 3 ครั้ง = อัลบาทรอส (-3)
สรุปคือ...คะแนนยิ่งต่ำยิ่งดี
Bogey
แน่นอนคะแนน ติดลบแปลว่าดี เพราะฉะนั้น คะแนนบวกแปลว่าไม่ดี เพราะตีเกินจำนวนครั้งที่กำหนดไว้ โดยจำนวนครั้งการตีเกินกว่าที่กำหนดจะเรียกว่า โบกี้ (+1) ถ้าตีเกินหลายๆครั้งก็ Double Bogey (+2) / Triple Bogey (+3) ไปเรื่อยๆ.. โดยหากมีคะแนนมากกว่า Par ในทางภาษาพูดจะใช้คำว่า Over Par คือจำนวนการตีมากกว่า Par ที่กำหนด
ตัวอย่างเช่น หลุม 3 Par 3 นักกอล์ฟตีไป 4 Stoke แปลว่าตีเกินจำนวนครั้งที่กำหนดไว้ 1 ครั้ง = โบกี้ (+1)
โดยไม่ว่าจะ Even Par / Under Par / Over Par สามารถดูได้จากสกอร์การ์ดที่จดคะแนนการตีไปทั้งหมดได้
Hole in One
เป็นคำที่ใครหลายๆคนอยากได้ เพราะสามารถอวดเพื่อนได้ 555 โฮล-อิน-วัน คือ ตี 1 ครั้ง ลงหลุมเลย ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับหลุม Par 3 เพราะระยะได้ มีโอกาสที่จะตีครั้งเดียวแล้วลงหลุมเลย (บางสนามกอล์ฟในไทยมีรางวัล Hole in One ให้ด้วยนะครับ) สำหรับสกอร์ขึ้นอยู่กับพาร์ เช่น Hole in One หลุม Par 3 ได้สกอร์ (1-3 = -2) Hole in One หลุม Par 4 ก็ได้สกอร์ (1-4 = -3)
Stroke Play / Match Play
ปกติการแข่งขันจะมีอยู่ 2 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็จะมีการแข่งขัน มาตรฐาน 4 วัน บางรายการ แข่ง 2 วันแรก เพื่อคัด(ตัดตัว)ผู้เข้าแข่งขันให้เข้ารอบและแข่งขันใน 2 วันหลัง โดยรูปแบบที่เป็นมาตรฐานสากลคือ Stroke Play
วิธีการจัดอันดับ รูปแบบ Stroke Play ง่ายๆเลยคือ นับจำนวน Stroke ทั้ง 4 วันรวมกัน
ตัวอย่างเช่น สนามมาตรฐาน Par 72 นักกอล์ฟ A ได้สกอร์ทั้ง 4 วันคือ 68-69-72-66 (ตัวเลข 4 ตัวเรียงกันนี้คือสกอร์การตีทั้งหมดใน 4 วัน นับง่ายๆคือ (บวกกัน) 275 Stroke <<< สกอร์นี้เอาไว้เทียบกับผู้เข้าแข่งขันรายอื่น ****โดยยึดคอนเซปเดิม..คือ สกอร์ยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะฉะนั้นก็วัดกันจากเลขดังกล่าวได้เลยว่าใคร Stroke น้อยกว่า
สำหรับรูปแบบ Match Play คือการแข่งขันแบบหลุมต่อหลุม แล้วเอาจำนวนการชนะในแต่ละหลุมมารวมกันดูผลแพ้ชนะ เพราะฉะนั้นสกอร์จะไม่สนใจเลยว่าใครตีน้อยกว่ากี่ครั้ง แต่จะสนใจว่าใครชนะจำนวนกี่หลุม จึงไม่ค่อยมีความเป็นสากลเท่าที่ควร
Penalty
คือการลงโทษ ปกติการลงโทษจะมีหลายรูปแบบ แต่ที่จะเห็นจากการแข่งขันมากที่สุดคือการถูกปรับแต้ม
ตัวอย่างเช่น Penalty 1 Stroke แปลว่านักกอล์ฟคนนั้นโดนปรับ +1 Stroke หากนักกอล์ฟตีไป 3 Stroke ลงหลุม แล้วโดน Penalty = หลุมนั้นโดนนับจำนวนการตีไป 4 Stroke
Tee Off / Fairway / On Green
ทั้ง 3 คำนี้ เป็นพื้นที่ปกติของสนามกอล์ฟคือ Tee-Off เป็นแท่นเริ่มแรกของการตีในทุกๆหลุม โดยส่วนใหญ่ใช้ไม้ Driver ส่วน Fairway เป็นพื้นหญ้าเรียบที่ช่วยให้ลูกกอล์ฟไปถึงหลุมได้ง่าย และเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยจะมีอุปสรรคเท่าไร ส่วนใหญ่ ส่วน On Green เมื่อตีกอล์ฟมาถึงแท่นกรีนแล้ว จะเป็นส่วนที่ยากที่สุดในสนามกอล์ฟคือ Green เพราะการอ่านไลน์ในการพัตต์ ความเร็ว-หนืดของหญ้า ทำให้ยากมากๆต่อการวิเคราะห์
Rough
เป็นหญ้าที่มีลักษณะยาวขึ้นมามากกว่า Fairway ส่วนใหญ่จะอยู่ข้างๆแฟร์เวย์ มีความเป็นอุปสรรคหน่อยๆในการตี ถือว่าเป็นอุปสรรคในขั้นเบาบาง
Bunker
บ่อทรายเป็นอุปสรรคระดับหนักขึ้นมา เนื่องจากทรายทำให้ลูกกอล์ฟจมไปในระดับนึง ทำให้ยากต่อการตี พร้อมกับวิธีการตีกอล์ฟในบ่อทราย ต้องห้ามวางไม้กอล์ฟให้โดนทราย เพราะถ้าผิดกติกา ก็จะโดน Penalty ไปตามกฎระเบียบ
Water Hazard
บ่อน้ำ ซึ่งเป็นอุปสรรคค่อนข้างใหญ่ เพราะน้ำมีส่วนทำให้น้ำหนักของวงสวิงเปลี่ยนไปเลย หรือถ้าหนักสุดๆก็คือ O.B. (Out of Bounds) ก็จะโดนนับ 2 Stroke ไปเลยแล้วก็ Drop ลูกเริ่มจากจุดที่กำหนดใหม่อีกครั้ง
Spin
คำนี้ส่วนใหญ่จะเห็นได้ในมือโปรหลายๆคน เพราะยากมากๆๆๆ มันคือการควบคุมการไหลของลูก backspin เมื่อลูกตกแล้วจะถอยหลังกลับมา ส่วน topspin คือไหลไปด้านหน้าให้ระยะไกลขึ้น
Golfdd
คำนี้นี่ สำคัญที่สุดในบรรดาคำที่เอาไว้ดูกอล์ฟ เพราะคำนี้จะพยายามหาการแข่งขันมาให้แฟนๆนักกอล์ฟดูตลอดเวลา อย่าลืมแอดไลน์ Line : @golfdd (สามารถสอบถามราคาสนามกอล์ฟแบบอัตโนมัติได้ด้วย ไม่เชื่อก็ลองดูเลย)
ฝากติดตามกันด้วยนะคร้าบบบบ
#golfdd #golfpromotion #benefitforgolfers
#จองที่นี่ #จ่ายที่สนาม #จองสบาย #ไม่ตัดบัตรเครดิต
-
← ก่อนหน้าเทคโนโลยีเปลี่ยนกอล์ฟหลักร้อยไร่ ให้อยู่ในกรอบแค่ไม่กี่ตารางเมตร...Wednesday, 4 July 2018
-
ถัดไป →รายการเฮฮาบ้ากอล์ฟ |Thursday, 5 July 2018
Comments